วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

โครงสร้างของสารพันธุกรรม

สารพันธุกรรมมีสมบัติเป็นกรดนิวคลีอิก มีอยู่ 2 ชนิด คือ
1. Deoxyribonucleic  acid (ดีเอ็นเอ) พบในสิ่งมีชีวิตทั่วไป
2. Ribonucleic  acid (อาร์เอ็นเอ) พบในไวรัสบางชนิดเท่านั้น

   
จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์และผลการทดลองซึ่งสนับสนุนว่า DNA คือสารพันธุกรรมมีอย่างหลากหลายจนกระทั่งการศึกษาไวรัสของแบคทีเรีย โดย เอ เฮอร์เชย์ และ เอ็ม เชส ทำให้พิสูจน์ได้ว่า DNA คือสารพันธุกรรม ปี ค.ศ. 1952 อนุภาคไวรัสประกอบด้วยส่วนของ DNA อยู่ภายในและมีโปรตีนอยู่เปลือกนอกเฮอร์เชย์ และ เชสได้ทดลองโดยติดฉลาก DNA และโปรตีนของไวรัสด้วยสารกัมมันตรังสีฟอสฟอรัส-32(32P)และซัลเฟอร์-35(35S)ตามลำดับ เนื่องจากองค์ประกอบของ DNA มีฟอสฟอรัสเป็นส่วนประกอบโดยไม่มีซัลเฟอร์ และโปรตีนมีซัลเฟอร์แต่ไม่มีฟอสฟอรัส พบว่า ส่วนที่เข้าไปในแบคทีเรียคือ สารที่มีฟอสฟอรัส-32และสามารถสร้างอนุภาคไวรัสรุ่นใหม่ได้ จากผลการทดลองทำให้ยืนยันว่า DNA คือสารพันธุกรรม และจากการค้นพบแบบจำลองโครงสร้าง DNA โดยJ. Watson และ Crick ทำให้คำโต้แย้งหรือข้อสงสัยหมดไปอย่างสมบูรณ์




DNA

องค์ประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ
 DNA ประกอบด้วย หน่วยย่อยของ Nucleotides จับกันด้วยพันธะ Phosphodiester Bond และ Nucleotides นี้ประกอบด้วย น้ำตาล Deoxyribose หมู่ฟอสเฟต และเบส (Nitrogenous Baseชนิด ได้แก่      Guanine (G, Adenine (A)
         
(Purine -  มีวงแหวน วง)
   
   Cytosin (C) , Thymine (T)
         
(Pyrimidine – มีวงแหวน วง )
แบบจำลองโครงสร้างของ DNA
J.D. Watson นักชีววิทยาอเมริกัน & F.H.C. Crick นักฟิสิกส์อังกฤษ เสนอโครงสร้างของ DNA ได้รับ Nobel Prize ตีพิมพ์ผลงานใน Nature  ฉบับวันที่ 25 เดือนเมษายน ค.ศ. 1953
1. 
ประกอบด้วย 2 polynucleotides ยึดกันโดยการจับคู่กันของเบส โดย H-bond
2. 
ทั้ง สายขนานกันและมีติดทางตรงข้าม (antiparallel)
3. 
การจับคู่กันของเบสระหว่าง A - T (2 H-bonds), C - G (3 H-bonds) = complementary basepairs (เบสที่เป็นเบสคู่สมกัน คือ A จับคู่กับ T ด้วยพันธะไฮโดรเจน 2 พันธะ และGจับคู่กับ C ด้วยพันธะไฮโดรเจน 3 พันธะ)
4. 
ทั้ง สายจะพันกันเป็นเกลียวเวียนขวา (right handed double strand helix)
5. 
แต่ละคู่เบสห่างกัน 3.4 อังสตรอม (.34 nm) เอียงทำมุม 36 องศา    รอบ = 10 คู่เบส = 34 อังสตรอมเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 อังสตรอม
   
ที่มา:http://genetic.funnyfeb.com/chromosomes/chromo_03.html 
โครงสร้างของ DNA ประกอบด้วยพอลีนิวคลิโอไทด์ สาย พอลีนิวคลีโอไทด์แต่ละสายประกอบด้วยหน่วยย่อยที่เรียกว่านิวคลีโอไทด์ มาเชื่อมต่อกันเป็นสายยาว พอลีนิวคลีโอไทด์ทั้ง สาย จะยึดติดกันด้วยพันธะไฮโดรเจนระหว่างเบส นิวคลีโอไทด์แต่ละหน่วยเชื่อมต่อกัน โดยพันธะที่เกิดระหว่างกลุ่มฟอสเฟตของนิวคลีโอไทด์หนึ่งกับคาร์บอนตำแหน่งที่ 3' ของน้ำตาลอีกนิวคลีโอไทด์หนึ่งดังนั้นโครงสร้างสายพอลินิวคลีโอไทด์เป็นการต่อสลับระหว่างกลุ่มฟอสเฟตกับกลุ่มน้ำตาลโดยสายหนึ่งมีทิศทางจากปลาย5'ไปยังปลาย 3' อีกสายหนึ่งจะจับอยู่กับปลาย5'ของสายแรก ดังนั้นเมื่อเกิดการแยกตัวของ DNA ทั้งสองสายส่วนที่แยกออกมาจึงมีทิศทางต่างกัน
  

 ที่มา:http://www.ipst.ac.th/techno/picture.shtml
สมบัติสารพันธุกรรม

     เมื่อวัตสันและคลิก ได้คิดแบบจำลองโครงสร้างทางเคมีของ DNA ขึ้นมาแล้ว เขาทั้งคู่ต้องพิสูจน์ว่า DNA มีคุณสมบัติที่เหมาะสมที่เป็นสารพันธุกรรมได้หรือไม่ ตามคุณสมบัติสำคัญ ดังนี้
1. 
สารพันธุกรรมต้องจำลองตัวเองได้ แล้วยังมีลักษณะเหมือนเดิม เพื่อจะถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม จากรุ่นพ่อ-แม่ ไปยังรุ่นลูกได้ ซึ่งเกิดโดยกระบวนการสังเคราะห์ DNA (DNA -replication)
2. 
สามารถควบคุมการสังเคราะห์สารต่างๆ ของเซลล์เพื่อจะได้แสดงลักษณะทางพันธุกรรม ต่างๆให้ปรากฏ โดยรหัสพันธุกรรมใน DNA ถูกถ่ายทอดผ่าน RNA ในรูปของลำดับเบส แล้วแปล (translation) ออกมาเป็นลำดับของกรดอะมิโนในในกระบวนการสังเคราะห์โปรตีน
3. 
อาจมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางพันธุกรรมที่ต่างไปจากเดิม เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ลำดับเบสใน DNA ทำให้ผิดปกติไป และถ่ายทอดลักษณะที่ผิดปกติไปยังลูกหลาน ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตที่ผิดปกติขึ้นได้  ในระยะเวลา 10 ปีต่อมา หลังจากที่วัตสันและคลิกได้คิดแบบจำลองโครงสร้างของ DNA ขึ้น จึงสามารถพิสูจน์ได้ว่า DNA มีคุณสมบัติที่เป็นสารพันธุกรรมได้
     
วัตสันและคลิกจึงได้รับรางวัลโนเบลด้วยผลงานการค้นพบโครงสร้างของ DNA นับเป็นผู้ที่เปิดศักราชใหม่ให้แก่พันธุศาสตร์ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถศึกษาต้นตอของพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต คือสารพันธุกรรมได้โดยตรง

การจำลองโมเลกุลของ DNA
การจำลองตัวเองของ DNA มีหลายแบบนักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งสมมติฐานการเกิดการจำลองตัวเองของ DNA ไว้ ดังนี้
 
1. แบบกึ่งอนุรักษ์ (semiconservative replication) เมื่อมีการจำลองตัวเองของDNA แล้ว DNAแต่ละโมเลกุลมีพอลินิวคลีโอไทด์ สายเดิมและสายใหม่ ซึ่งเป็นแบบจำลองของวอตสันและคริก
 
2. แบบอนุรักษ์ (conservative replication) เมื่อมีการจำลองตัวเองของ DNA แล้วพอลินิวคลีโอไทด์ทั้งสองสายไม่แยกจากกันยังเป็นสายเดิม จะได้ DNA โมเลกุลใหม่ที่มีพอลินิวคลีโอไทด์ สายใหม่ทั้งสองสาย
 
3. แบบกระจัดกระจาย (dispersive replication) เมื่อมีการจำลองตัวเองของ DNAจะได้ DNA ที่เป็นของเดิมและของใหม่ปะปนกันไม่เป็นระเบียบ
     จากสมมติฐานทั้งหมดนี้มีสมมติฐานการจำลองตัวเองของ
 DNAแบบกึ่งอนุรักษ์เท่านั้นที่มีการทดลองของนักวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนความเป็นไปได้
ที่มา:http://www.usask.ca/biology/genetics/replication/replication.htm 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น