วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Animal cell VS. Plant cell

เซลล์สัตว์


เซลล์สัตว์

ส่วนประกอบของเซลล์สัตว์


 1.)ผนังเซลล์ เซลล์ทั่วไปประกอบด้วยสารพวกเซลลูโกสเป็นหลัก  ทำหน้าที่ห่อหุ้มป้องกันอันตรายให้เเก่เซลล์พืช
ให้เซลล์พืช  ให้เซลล์คงรูปเพิ่มความเเข็งเเรง เซลล์ของสัตว์ไม่มีผนังเซลล์
 2.)เยื่อหุ้มเซลล์  เป็นเยื่อบางๆ ประกอบด้วยโปรตีนและไขมัน  ทำหน้าที่ควบคุ้มปริมาณ และชนิดของสารที่ผ่านเข้าออก
จากเซลล์ เเละมีรูปเล็กๆเพื่อให้สารบางอย่างผ่านเข้าออกได้เเละไม่ให้สารบางอย่างผ่านออกจากเซลล์จึงมีสมบัติเป็น
เยื่อบางๆ
 3.)ไซโทพลาซึม เป็นส่วนประกอบที่เป็.นของเหลวอยู่ภายในเซลล์  มีสารละลายน้ำได้เช่นโปรตีน  ไขมัน  เกลือเเร่
ประกอบด้วยหน่วยเล็กๆ ที่สำคัญหลายชนิด
 4.)ไมโทคอนเดีรย  เป็นโครงสร้างที่มีลักษณะที่มีลักษณะยาวเป็นเเหล่งผลิตสารที่มีพลังงานสูงให้เเก่เซลล์       
 5.)ไรโบโซม  เป็นโครงสร้างที่มีขนาดเล็ก เป็นเเหล่งที่มีขนาดเล็ก  เป็นเเหล่งที่มีการสังเคราะห์โปรตีนเพื่อส่ง    
ออกไปใช้นอกเซลล์  
 6.)กอจิคอมเพลกซ์  เป็นโครงสร้างที่เป็นสถุงเเบนๆ คล้ายจานซ้อนกันเป็นชั้นๆหลายชั้น ทำหน้าที่สร้างสารคาร์โบไฮเดรต
กับโปรตีน และสง่งออกไปใช้ภายในเซลล์
 7.)เซนตริโอล  พบในเซลล์ศสัตว์ เเลโพรติสต์บางชนิดมี หน้าที่เกี่วยกับการเเบ่งเซลล์                         
 8.)เเวคิวโอล  เป็นโครงสร้างที่มีช่องว่างขนาดใหญ่มากในเซลล์พืช ภายในมีสารพวก น้ำมัน  ยาง และแก็สต่างๆ    
 9.)นิวเคลียส  อยู่ตรงกลางเซลล์  เซลล์ส่วนใหญ่มีนิวเคลียส ยกเว้นเซลล์บางชนิด เช่น เซลล์เม็ดเลือดเเดงของสัตว์เลี้ยง ลูกด้วยนมเเซลล์ลำเลียงอาหารของพืช เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะไม่มีนิวเคลียสทำหน้าที่  ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ควบคุมการสังเคราะห์สารประกอบของเซลล์    


เซลล์พืช
ส่วนประกอบของเซลล์พืช


1.ผนังเซลล์ (Cell Wall) เป็นส่วนทีอยู่นอกสุด ทำหน้าที่กั้นส่วนภายในของเซลล์แต่ละเซลล์ สร้างความแข็งแรง ทำให้เซลล์คงรูปร่างอยู่ได้ มีช่องสำหรับให้สารต่างๆผ่านเข้าออกเซลล์ได้ ผนังเซลล์ใบไม้ ดอกไม้ จะเปื่อยยุ่ยง่าย ถ้าเป็นพวกเนื้อไม้ เปลือกผลไม้แข็ง ผนังเซลล์จะหนาและทนทาน ในเซลล์ของสัตว์เราจะไม่พบผนังเซลล์
2.เยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane) มีลักษณะเป็นเยื่อบางๆ ประกอบด้วยสารประเภทไขมันและโปรตีน ทำหน้าที่ควบคุมการผ่านเข้าออกของสารบางอย่าง เช่น น้ำ อากาศ และสารละลายต่างๆ
3.ไซโทพลาสซึม (Cytoplasm) อยู่ระหว่างเยื่อหุ้มเซลล์กับนิวเคลียส มีลักษณะเป็นของเหลวที่มีสิ่งต่างๆปนอยู่ เช่น น้าตาล ไขมัน โปรตีนและของเสียอื่นๆ ไซโทพลาสซึมในพืชมีเม็ดสีเขียวที่เรียกว่า คลอโรพลาสต์ (Cholroplast) ประกอบด้วย (ในสัตว์ไม่มี)
   a.นิวเคลียส เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของเซลล์ในไซโทพลาสซึม มีลักษณะค่อนข้างกลม ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ การเจริญเติบโตตลอดจนการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม จาก พ่อแม่ไปสู่ลูกหลาน ในนิวเคลียสจะมีส่วนประกอบ 2 อย่าง คือ
   b.นิวคลีโอลัส (Nucleolus) ประกอบด้วยสารประกอบ DNA (Deoxyribonucleic Acid) และ RNA (Ribonucleic Acid) เป็นส่วนใหญ่  และเป็นแหล่งสร้างไลโบโซม แล้วไหลออกสู่ ไซโทพลาสซึม ผ่านทางช่องเยื่อบุนิวเคลียส เพื่อทำหน้าที่สังเคราะห์โปรตีนให้แก่เซลล์ แล้วส่งออกไปนอกเซลล์
4.โครมาทิน(Chromatin) ร่างแหของโครโมโซม (Chromosome) ประกอบด้วย DNA หรือที่เรียกว่า จีน (Gene) และมีรหัสพันธุกรรม (Genetic Code) ทำหน้าที่ควบคุมการสร้างโปรตีนและ DNA
5.แวคคิวโอล (Vacuole) พบได้ทั้งเซลล์พืชแลเซลล์สัตว์ แต่ในเซลล์พืชจะมีขนาดใหญ่กว่า ทำหน้าที่ผ่านเข้าออกของสารระหว่างแวคคิวโอลและไซโทพลาสซึม เป็นที่พักและที่เก็บสะสมของเสียก่อนถูกขับออกจากเซลล์  

    

ระบบต่อมไร้ท่อ ( Endocrine system )

ระบบต่อมไร้ท่อ (ENDOCRINE SYSTEM)

ต่อมไร้ท่อ (ENDOCRINE GLAND) หมายถึง  ต่อมไม่มีท่อ สิ่งที่หลั่งจากต่อมเหล่านี้เข้าสู่กระแสเลือดไหลเวียนโดยตรง ไม่ต้องผ่านท่อ ดังนั้นเซลล์ของต่อมไร้ท่อจะสัมผัสกับหลอดเลือดฝอยภายในต่อมอย่างใกล้ชิด ต่อมเหล่านี้จึงมีเลือดมาเลี้ยงอย่างมากมาย

        สิ่งมีชีวิตจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติ จำเป็นต้องมีการทำงานที่สอดคล้องกันอย่างเหมาะสม ของระบบต่างๆ การควบคุมดังกล่าวจัดแบ่งได้ 2 ระบบ คือ ะบบประสาท (nervous system) และระบบ ต่อมไร้ท่อ (endocrine system) การทำงาน ประสานงานอย่างใกล้ชิดของระบบทั้งสอง เรียกว่า ระบบ ประสานงาน (coordination) การทำงานของระบบกล้ามเนื้อ การรับรู้ การตอบสนองสิ่งเร้าต่างๆ เป็นหน้าที่ ของระบบประสาท ส่วนการควบคุมลักษณะ ที่เปลี่ยนแปลงของร่างกายแบบ ค่อยเป็น ค่อยไป ของวัยหนุ่มสาวที่ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การควบคุมปริมาณสารบางอย่างในร่างกายเป็นหน้าที่ของระบบต่อมไร้ท่อ ที่สร้างสารเคมี ที่เรียกว่า ฮอร์โมน ไปควบคุมการทำงานของอวัยวะเป้าหมาย (target organ)



Endocrine  system

โครงสร้างของสารพันธุกรรม

สารพันธุกรรมมีสมบัติเป็นกรดนิวคลีอิก มีอยู่ 2 ชนิด คือ
1. Deoxyribonucleic  acid (ดีเอ็นเอ) พบในสิ่งมีชีวิตทั่วไป
2. Ribonucleic  acid (อาร์เอ็นเอ) พบในไวรัสบางชนิดเท่านั้น

   
จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์และผลการทดลองซึ่งสนับสนุนว่า DNA คือสารพันธุกรรมมีอย่างหลากหลายจนกระทั่งการศึกษาไวรัสของแบคทีเรีย โดย เอ เฮอร์เชย์ และ เอ็ม เชส ทำให้พิสูจน์ได้ว่า DNA คือสารพันธุกรรม ปี ค.ศ. 1952 อนุภาคไวรัสประกอบด้วยส่วนของ DNA อยู่ภายในและมีโปรตีนอยู่เปลือกนอกเฮอร์เชย์ และ เชสได้ทดลองโดยติดฉลาก DNA และโปรตีนของไวรัสด้วยสารกัมมันตรังสีฟอสฟอรัส-32(32P)และซัลเฟอร์-35(35S)ตามลำดับ เนื่องจากองค์ประกอบของ DNA มีฟอสฟอรัสเป็นส่วนประกอบโดยไม่มีซัลเฟอร์ และโปรตีนมีซัลเฟอร์แต่ไม่มีฟอสฟอรัส พบว่า ส่วนที่เข้าไปในแบคทีเรียคือ สารที่มีฟอสฟอรัส-32และสามารถสร้างอนุภาคไวรัสรุ่นใหม่ได้ จากผลการทดลองทำให้ยืนยันว่า DNA คือสารพันธุกรรม และจากการค้นพบแบบจำลองโครงสร้าง DNA โดยJ. Watson และ Crick ทำให้คำโต้แย้งหรือข้อสงสัยหมดไปอย่างสมบูรณ์


วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต ( Biological diversity ) และระบบนิเวศ


Biological Diversity

ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ที่ดำรงชีวิตอยู่ในแหล่งที่อยู่อาศัยเดียวกันหรือแตกต่างกัน ซึ่งสิ่งมีชีวิตต่างชนิดกันจะมีความแตกต่างกันทั้งในด้านชนิดและจำนวน หรือแม้เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันก็อาจมีความแตกต่างหลากหลายได้เช่นกัน